บ้านผู้สูงอายุ ออกแบบอย่างไรให้อยู่สบายใน 5 ขั้นตอน
เมื่ออายุเพิ่มมากขึ้น ความต้องการทางกายภาพของแต่ละคนก็เปลี่ยนไป บ้านที่เคยสะดวกสบายในช่วงวัยหนุ่มสาว อาจกลายเป็นพื้นที่ที่เต็มไปด้วยอุปสรรคและความไม่สะดวกสำหรับผู้สูงอายุได้ ด้วยเหตุนี้ บ้านจึงไม่ใช่เพียงแค่ “ที่อยู่อาศัย” แต่เป็น “พื้นที่ปลอดภัย” ที่ต้องเข้าใจและตอบโจทย์การดำเนินชีวิตในแต่ละวันได้อย่างแท้จริง
การออกแบบบ้านเพื่อผู้สูงอายุจึงเป็นการผสมผสานระหว่างความเข้าใจทางกายภาพ จิตใจ และความเข้าใจต่อความต้องการเฉพาะของวัยที่กำลังเข้าสู่หรืออยู่ในช่วงปลายของชีวิตอย่างแท้จริง บทความนี้จะนำเสนอ 5 ขั้นตอนสำคัญในการออกแบบบ้านที่อยู่สบายสำหรับวัยเกษียณ ให้กับคนที่คุณรัก
ขั้นตอนที่ 1: วางรากฐานความปลอดภัยและการเข้าถึงที่สะดวก
การออกแบบบ้านสำหรับผู้สูงอายุควรเริ่มต้นด้วยการ คำนึงถึงความปลอดภัยเป็นหลัก และ ความสะดวกในการเข้าถึง เพื่อให้ผู้สูงอายุสามารถใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างอิสระและลดความเสี่ยงจากการหกล้มหรืออุบัติเหตุต่าง ๆ
1.1 ออกแบบโดยคำนึงถึงความปลอดภัยเป็นหลัก
- พื้นควรใช้วัสดุกันลื่น เช่น พื้นไวนิล พื้นยาง หรือกระเบื้องผิวหยาบ นอกจากนี้ พื้นควรมีคุณสมบัติช่วยซับแรงกระแทกเพื่อลดความรุนแรงของการบาดเจ็บหากเกิดอุบัติเหตุหกล้ม
- หลีกเลี่ยงธรณีประตูหรือพื้นต่างระดับ หากจำเป็นต้องมีพื้นต่างระดับ ควรทำเป็นทางลาดแทน หรือทำเครื่องหมายให้เห็นชัดเจน
- ควรมีราวจับในพื้นที่เสี่ยงต่อการลื่นล้ม เช่น ห้องน้ำ บันได ทางเดิน และบริเวณใกล้เตียง
1.2 ออกแบบให้พื้นที่ในบ้านสะดวกต่อการเข้าถึง
- ประตูควรกว้างอย่างน้อย 90 ซม. เพื่อให้รถเข็นสามารถผ่านได้สะดวก ควรเลือกใช้ประตูบานเลื่อนหรือบานที่เปิดออกแทนบานเปิดธรรมดา และควรใช้มือจับแบบก้านโยกหรือแกนผลักแทนลูกบิด
- ระยะพื้นที่รอบเตียง โต๊ะกินข้าว และห้องน้ำ ควรมีพื้นที่หมุนรถเข็นได้ อย่างน้อย 150 ซม. ห้องครัวก็ควรกว้างขวางพอที่รถเข็นจะหมุนตัวได้เช่นกัน
- แนะนำให้มีห้องนอนชั้นล่าง หรือติดตั้งลิฟท์บ้านหากบ้านมีหลายชั้น เพื่อความสะดวกในการขึ้น-ลง
1.3 ออกแบบให้มีความสว่างที่เหมาะสมสำหรับผู้สูงอายุ
- ผู้สูงอายุมีการมองเห็นที่ลดลง ดังนั้นควรออกแบบพื้นที่ให้มีแสงธรรมชาติและหรือมีแสงไฟที่เพียงพอทั่วทั้งบ้าน
- หลีกเลี่ยงแสงสะท้อนจากพื้นหรือผนังสีขาวจัด ที่อาจทำให้เกิดอาการแสบตาได้
- ควรมีไฟส่องทางเดินในตอนกลางคืน โดยเฉพาะทางไปห้องน้ำ เพื่อป้องกันการเดินสะดุดล้ม ระบบไฟอัตโนมัติที่ทำงานด้วยเซนเซอร์ตรวจจับความเคลื่อนไหวเป็นอีกทางเลือกที่ดีสำหรับการออกแบบบ้านสำหรับผู้สูงอายุ
ขั้นตอนที่ 2: เจาะลึกการออกแบบพื้นที่สำคัญในบ้าน
หลังจากวางรากฐานด้านความปลอดภัยและการเข้าถึงแล้ว ขั้นตอนต่อไปคือการนำหลักการเหล่านั้นมาปรับใช้กับ ห้องหรือพื้นที่สำคัญต่าง ๆ ในบ้าน ซึ่งผู้สูงอายุจะใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ในพื้นที่เหล่านี้
2.1 ห้องนอน
- เตียงควรมีความสูงประมาณ 45-50 ซม. จากพื้น เพื่อให้นั่ง-ลุกง่าย
- หลีกเลี่ยงมุมแหลมของเฟอร์นิเจอร์ และจัดวางให้มีพื้นที่รอบเตียงเพียงพอสำหรับการเคลื่อนไหวและวางอุปกรณ์ช่วยเดิน
- มีปลั๊กไฟใกล้เตียง และสวิตช์ไฟที่เอื้อมถึงได้ขณะนอน ควรมีระบบไฟส่องสว่างเพียงพอและติดตั้งระบบเตือนภัยฉุกเฉินใกล้เตียง
2.2 ห้องน้ำ
- ติดตั้งพื้นกันลื่นและห้องน้ำต้องไม่มีธรณีประตู และออกแบบให้แยกโซนเปียกและโซนแห้งกันอย่างชัดเจน
- โถสุขภัณฑ์ควรสูงขึ้นกว่าปกติเล็กน้อย ประมาณ 45 ซม.
- มีราวจับติดผนังบริเวณสุขภัณฑ์และฝักบัว เพื่อช่วยในการทรงตัวและลุกนั่ง
- ฝักบัวควรเป็นแบบมือถือ ปรับระดับได้ และไม่ต้องก้าวเข้าไปในอ่างอาบน้ำ ควรมีที่นั่งในห้องน้ำเพื่อความสะดวกสบายในการอาบน้ำ
- ประตูห้องน้ำควรเปิด-ปิดง่ายและมีพื้นที่กว้างขวางพอสำหรับรถเข็น
2.3 ห้องครัว
- ตู้และชั้นควรอยู่ในระดับที่ไม่สูงหรือต่ำเกินไป อุปกรณ์ที่ใช้บ่อยควรอยู่ในระดับสายตา
- พื้นที่ควรกว้างเพื่อให้รถเข็นสามารถหมุนตัวได้ และไม่ควรมีของเกะกะทางเดิน
- ยกเลิกการใช้เตาแก๊สและเปลี่ยนมาใช้เป็นเตาไฟฟ้าหรือเตาแม่เหล็กไฟฟ้าเพื่อความปลอดภัย
2.4 ห้องนั่งเล่น
- จัดวางเฟอร์นิเจอร์ให้ลงตัว ไม่ขวางทางเดิน และเผื่อพื้นที่กว้างพอสำหรับรถเข็นเคลื่อนที่ได้สะดวก
- หลีกเลี่ยงการปูพรมเพื่อลดความเสี่ยงในการสะดุดล้ม
- เปิดพื้นที่ให้โล่ง โปร่งสบาย มีแสงธรรมชาติเข้าถึงและอากาศถ่ายเทได้ดี เช่น การใช้กระจกบานใหญ่เพื่อสร้างบรรยากาศผ่อนคลาย
- เลือกเฟอร์นิเจอร์ที่แข็งแรง มีขอบโค้งมน เพื่อลดการกระแทกหากเกิดอุบัติเหตุ
- เก้าอี้หรือโซฟาควรมีพนักพิงและที่วางแขน ช่วยให้ผู้สูงอายุลุกนั่งได้ง่ายและมั่นคง
2.5 ห้องพระ
- ควรอยู่บริเวณชั้นล่าง หรือพื้นที่ที่เดินเข้าถึงได้โดยไม่ต้องขึ้นลงบันได
- มีแสงสว่างเพียงพอ และพื้นที่สำหรับนั่งกราบไหว้ที่ปลอดภัย
- จัดเตรียมเก้าอี้หรือที่นั่งที่มีพนักพิง รองรับการนั่งเป็นเวลานานได้อย่างสบาย
2.6 ทางเดินและบันได
- พื้นทางเดินควรกว้างอย่างน้อย 90-120 ซม.
- ไม่มีพื้นต่างระดับ หรือหากจำเป็นควรใช้ทางลาดแทน
- หากหลีกเลี่ยงการใช้บันไดไม่ได้ ก็ต้องออกแบบให้มีราวจับทั้งสองข้าง และมีแสงสว่างเพียงพอทุกจุด พื้นบันไดไม่ควรลื่นหรือขัดเงา ลูกตั้งบันไดไม่ควรสูงเกิน 15 ซม. และลูกนอนควรกว้างอย่างน้อย 30 ซม. ต้องมีชานพักเป็นระยะ ๆ หากบันไดมีความสูงมาก
2.7 ประตู – หน้าต่าง
- ประตูควรมีความกว้างอย่างน้อย 90 ซม. เพื่อให้รถเข็นผ่านได้
- แนะนำให้ใช้ประตูบานเลื่อนหรือแบบเปิดออกแทนบานพับธรรมดา
- มือจับประตูควรใช้แบบก้านโยก หรือแบบดัน-ผลัก จะใช้งานง่ายกว่าลูกบิด
- ควรออกแบบให้พื้นเรียบ ไม่มีธรณีประตู
- หน้าต่างควรติดตั้งในตำแหน่งที่มองเห็นวิวได้ง่าย อยู่สูงจากพื้นประมาณ 75–100 ซม.
พยายามปรับหน้าต่างให้อยู่ในระดับสายตา ไม่ว่าจะเป็นในห้องนั่งเล่นหรือห้องนอน เพื่อให้มองเห็นต้นไม้ ใบไม้ หรือกิจกรรมภายนอก ช่วยสร้างความสดชื่นทางใจ
ขั้นตอนที่ 3: สร้างบรรยากาศที่ดีให้ผู้สูงอายุเพื่อสุขภาพกายและใจ
นอกจากการออกแบบเพื่อความปลอดภัยแล้ว การจัดบ้านให้น่าอยู่และกระตุ้นสุขภาพจิต ก็เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในการสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับผู้สูงอายุ
3.1 ออกแบบบ้านให้ใกล้ชิดกับธรรมชาติ
- เปิดช่องแสงหรือหน้าต่างให้เห็นต้นไม้ สนามหญ้า หรือแสงแดดธรรมชาติ
- จัดสวนเล็ก ๆ หรือพื้นที่สีเขียวกลางบ้านที่เชื่อมต่อกับตัวบ้าน
- มีพื้นที่นั่งเล่นกลางแจ้ง เช่น ระเบียง ลานหลังบ้าน หรือเฉลียง
- หน้าต่างควรอยู่ในระดับสายตา เพื่อให้ผู้สูงอายุสามารถมองเห็นวิวภายนอกได้ง่าย
3.2 ออกแบบให้มีพื้นที่กิจกรรมยามว่าง
- จัดพื้นที่เอนกประสงค์สำหรับกิจกรรมเบา ๆ เช่น อ่านหนังสือ เล่นหมากรุก หรือโยคะเบา ๆ
- เพิ่มทีวีหรือวิทยุไว้ใกล้ ๆ เพื่อเป็นเพื่อนคลายเหงา และช่วยสร้างความเพลิดเพลิน
- ควรเป็นพื้นที่ที่เข้าถึงง่าย ไม่ต้องเดินไกลจากจุดพักผ่อนหลัก
3.3 ตกแต่งบ้านให้รู้สึกอบอุ่นและปลอดภัย
- ใช้โทนสีอบอุ่น เช่น สีครีม สีฟ้าอ่อน หรือสีเขียวอ่อน ช่วยให้บรรยากาศในบ้านดูสงบและสบายตา
- หลีกเลี่ยงการตกแต่งด้วยของแหลมคม หรือของที่วางอยู่ในจุดที่อาจสะดุดหกล้มได้
- เลือกของตกแต่งที่เรียบง่าย ใช้งานได้จริง และให้ความรู้สึกเป็นธรรมชาติและอบอุ่น
ขั้นตอนที่ 4: ผสมผสานเทคโนโลยีเข้ากับบ้านเพื่อความสะดวกสบายและความปลอดภัยที่ยั่งยืน
ในยุคปัจจุบัน เทคโนโลยีและสมาร์ทโฮม เข้ามามีบทบาทสำคัญในการยกระดับคุณภาพชีวิตและเพิ่มความปลอดภัยให้กับผู้สูงอายุ
- สวิตช์ไฟแบบสัมผัสหรือรีโมตควบคุม
- ระบบเตือนภัยฉุกเฉินหรือปุ่มสัญญาณฉุกเฉินที่สามารถกดได้จากหลายจุดในบ้าน เพื่อให้ส่งสัญญาณไปยังสมาร์ทโฟนของลูกหลานหรือผู้ดูแลได้ทันท่วงทีหากเกิดเหตุฉุกเฉิน
- กล้องวงจรปิดที่เชื่อมต่อกับมือถือของลูกหลาน จะช่วยเพิ่มความปลอดภัยและความมั่นใจให้กับผู้สูงอายุและผู้ดูแล
- เซนเซอร์จับการเคลื่อนไหว หากมีการล้มหรือไม่ขยับเป็นเวลานาน
ลิฟท์บ้าน Cibes Air อีกหนึ่งเทคโนโลยีเพื่อความสะดวกและปลอดภัยสำหรับบ้านผู้สูงอายุ
สำหรับบ้านที่มีหลายชั้น และห้องผู้สูงอายุอยู่ด้านบน ทางเราแนะนำให้ติดตั้ง “ลิฟท์บ้าน” เพื่อความสะดวก ปลอดภัย และลดความเสี่ยงในการขึ้นลงบันได โดยรุ่นที่แนะนำคือลิฟท์ Cibes Air ซึ่งถูกออกแบบมาโดยเฉพาะสำหรับการใช้งานในบ้านพักอาศัย โดยเน้นความเรียบหรู ทันสมัย ประหยัดพื้นที่อย่างมากและออกแบบมาเพื่อเป็นลิฟท์ผู้สูงอายุโดยเฉพาะ
จุดเด่นของ Cibes Air
- ไม่ต้องขุดบ่อลิฟท์ เป็นลิฟท์ไม่มีห้องเครื่อง เหมาะอย่างยิ่งกับบ้านที่ต้องการติดตั้งลิฟท์ภายหลัง
- มาพร้อมเทคโนโลยี Smart Lift ที่สามารถควบคุมผ่านแอปใน Smart Phone ได้
- ประตูลิฟท์เป็นแบบอัตโนมัติ และเปิดได้ 3 ด้าน เพิ่มความยืดหยุ่นในการออกแบบภายใน
- เสียงเงียบ เดินทางนุ่มนวล ลดแรงสั่นสะเทือน เหมาะกับผู้สูงอายุที่มีปัญหาเรื่องระบบทรงตัวหรือความไวต่อเสียง
การติดตั้ง Cibes Air ไม่เพียงแค่ช่วยให้ผู้สูงอายุสามารถใช้งานพื้นที่ทุกชั้นของบ้านได้อย่างอิสระ แต่ยังเพิ่มมูลค่าให้กับบ้านในระยะยาวด้วยดีไซน์ที่ทันสมัยและปลอดภัยในทุกมิติ
ขั้นตอนที่ 5: วางแผนการลงมือทำและปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ
เมื่อมีความเข้าใจในหลักการและแนวคิดการออกแบบแล้ว ขั้นตอนสุดท้ายคือการตัดสินใจและวางแผนการลงมือทำ
- การปรับบ้านเก่าไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนทั้งหลัง สามารถเริ่มต้นจากการปรับปรุงในจุดสำคัญ เช่น การติดราวจับ ปรับระดับพื้น เพิ่มแสงสว่าง
- หากมีงบประมาณมากพอ การวางแปลนบ้านใหม่ให้รองรับการดูแลระยะยาวจะคุ้มค่าและปลอดภัยกว่า
- ไม่ว่าจะปรับปรุงหรือสร้างใหม่ การปรึกษาสถาปนิกที่เชี่ยวชาญเรื่อง Universal Design จะช่วยให้บ้านอยู่สบายและปลอดภัยในระยะยาวได้อย่างแท้จริง
ส่วนถ้าคุณต้องการทราบราคาลิฟท์บ้าน สามารถเข้าไปอ่านเพิ่มเติมได้ที่บทความ ลิฟท์บ้าน ราคาเท่าไหร่
“การล้ม” อาจเป็นจุดเปลี่ยนครั้งใหญ่ในชีวิตของผู้สูงอายุ จากคนที่เคยเดินเหินสะดวกกลายเป็นคนที่ต้องนั่งรถเข็นไปตลอดชีวิต การเข้าใจและใส่ใจในเรื่องนี้ตั้งแต่วันนี้ คือการเตรียมพร้อมให้คนที่เรารักมีคุณภาพชีวิตที่ดี และยังเป็นการเตรียมพร้อมให้กับตัวเราเองในอนาคตด้วย
หากคุณสนใจลิฟท์บ้าน สามารถติดต่อได้ที่ บริษัท ซีเบส ลิฟท์ (ประเทศไทย) จำกัด
Showroom ลิฟท์ที่กรุงเทพฯ
2113, 1 ถนนเพชรบุรีตัดใหม่ แขวงบางกะปิ เขตห้วยขวาง จังหวัดกรุงเทพมหานคร 10310
Showroom ลิฟท์ที่เชียงใหม่
123/6 หมู่ 15 ถนนชลประทาน ตำบลสุเทพ อำเภอเมืองเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่ 50200
Showroom ลิฟท์ที่ภูเก็ต
20/82 (Park plaza D) หมู่ 2 ถนนเทพกระษัตรี ตำบลเกาะแก้ว อำเภอเมือง จังหวัดภูเก็ต 83000
ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับลิฟท์บ้านระบบสกรูของเรา สามารถติดต่อเราได้ที่ https://www.cibeslift.co.th/homelift-form เพื่อรับการติดต่อกลับพร้อมนำเสนอราคา